แม่แอ้ว ที่เด็กๆ โรงเรียนหมู่บ้านเด็กเรียกัน หรือ “รัชนี ธงไชย” ครูพันธุ์ใหม่...หัวใจการศึกษา ได้มีโอกาสไปนั่งรับฟังการบรรยายพิเศษ (พิเศษจริงๆ เพราะใช้ระยะเวลาสั้นมาก) แต่เนื้อหาสาระที่ได้รับการถ่ายทอดผ่านคำพูดของแม่แอ้ว ซึ่งเป็นครูใหญ่โรงเรียนหมู่บ้านเด็ก จ.กาญจนบุรี แล้ว รู้สึกว่าเนื้อหาสาระไม่ได้สั้นตามเวลาที่บรรยาย แต่มันกลายเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการสร้างครูพันธุ์ใหม่ และยาวนานต่อไปตราบเท่าที่โรงเรียนหมู่บ้านเด็กยังคงมีอยู่ ที่ต้องพูดแบบนี้เพราะ กระแสการพัฒนาโรงเรียนให้มีคุณภาพและได้มาตรฐานตามที่สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) หรือ สมศ.ให้การรับรอง นั้นหมายความว่า โรงเรียนทางเลือกแห่งนี้ก็ต้องรับการประเมินคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาด้วย ครูส่วนใหญ่จึงต้องใช้เวลาในการเตรียมรับการประเมิน (เหมือนกับโรงเรียนในระบบทั่วไป) เป็นผลให้การพัฒนาครูเพื่อให้รับการตอบสนองต่อผู้เรียนน้อยลงมาก ครูแอ้วบอกว่า “ครูในโรงเรียนทุกคนต้องได้รับการพัฒนา และการพัฒนานั้นคือการพัฒนาตนเอง” ครูในโรงเรียนหมู่บ้านเด็ก ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับเด็กตลอดทั้งวัน ต้องคอยศึกษาพฤติกรรมของเด็กในการดูแลทุกคน เพื่อครูเองจะนำสิ่งที่ศึกษานั้นมาพัฒนาตนเองให้สามารถเป็นสะพานให้เด็กๆ ได้ก้าวผ่านประสบการณ์การเรียนรู้ที่ตนสนใจ และอยากเรียนรู้ ที่กล่าวเช่นนี้กำลังจะบอกว่าเมื่อไหร่ก็ตามหากเราเน้นคุณภาพการศึกษาที่ดี มาตรฐานการศึกษาที่เลิศมันมักจะเกิดขึ้นพร้อมๆ กับสภาพครูที่มันแย่ มาตรฐานผลสัมฤทธิ์นักเรียนต่ำไปด้วย ดังนั้น จากการได้รับฟังแม่แอ้วบรรยาย ทำให้รู้สึกว่าโรงเรียนทางเลือกที่เน้นให้ครูเป็นนักบริหารคอยปรับความสมดุลธรรมชาติให้กับเด็กแล้ว ครูยังต้องเอาใจใส่การประเมินคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาไปพร้อมๆกันด้วย เพื่อให้เด็กที่จบไปแล้วไม่มีปมด้อยและสามารถใช้วุฒิในการศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้นได้
ประเด็นสำคัญของการเป็น “ครูพันธุ์ใหม่...หัวใจการศึกษา” อย่างแม่แอ้ว คือ การทำงานโดยใช้พรหมวิหาร 4 คือ เมตตา, กรุณา, มุทิตา, อุเบกขา, อุเบกขาหรือการปล่อยวาง เราต้องปล่อยวางอย่างมีเมตตา และพยายามปรับสมดุลธรรมของชาติของเด็กแต่ละคน ซึ่งแน่นอนเด็กมีธรรมชาติการเรียนรู้ต่างกัน ครูจะต้องประกอบด้วยฟังก์ชั่น (function) ให้เด็กได้เลือกประสบการณ์การเรียนเอง ไม่ใช้อำนาจ ไม่บังคับ ไม่ยัดเหยียดในสิ่งที่เด็กไม่อยากเรียนให้ เพราะเชื่อว่าเด็กไม่ใช่ผ้าขาวที่รอครูคอยแต่งแต้มสีสันให้ แต่เชื่อว่าเด็กมีเบื้องหลังความคิด ดังนั้นการกระทำจึงสำคัญมาก เพราะธรรมชาติของเด็กคิดยังไงก็กระทำอย่างนั้น ฉะนั้นหน้าที่ครูจึงต้องคอยปรับความสมดุลเด็กให้เป็นธรรมชาติของตนเองมากที่สุด และให้เด็กได้มีประสบการณ์การเรียนรู้ทั้ง 6 อายตนะ คือ หู ตา จมูก ลิ้น กาย สัมผัส เท่าๆ กัน ซึ่งถือว่าเป็นปรับสมดุลธรรมชาติของมนุษย์มากที่สุด เพราะหากเน้นการเรียนรู้มากด้านใดด้านหนึ่งก็อาจจะส่งผลเสียต่อเด็กในภายหลัง ถึงตรงนี้ทำให้นึกถึงคำพุทธพจน์ที่ปรากฏในฉัปปาณโกปมสูตร สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค พระสุตตันตปิฎก ที่ว่าด้วยการสำรวมอินทรีย์ในอายตนะทั้ง 6 เปรียบเสมือนกับการจับสัตว์ 6 ชนิด ที่มีที่อยู่อาศัย และแหล่งหากินต่างกัน เมื่อนำสัตว์เหล่านั้นมาผูกมัดกันไว้ สัตว์ที่มีกำลังมากก็จะดึงสัตว์ที่มีกำลังน้อยไปด้วย [ประมาณว่าพวก (กำลัง) มาก ลากไป] ดังนั้นควรใช้อายตนะทั้ง 6 ให้พอเหมาะ ไม่ยินดียินร้ายหรือไม่เก่งเฉพาะเรื่อง เพราะสังคมทุกวันนี้มีเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เด็กจึงต้องมีทักษะการใช้ชีวิตให้ครบทุกด้าน มีภูมิต้านทานต่อความล้มเหลวในอนาคตข้างหน้า
ท้ายที่สุดนี้...ขออนุโมทนาขอบคุณทุกท่านที่มีส่วนในการศึกษาดูงานในคราวครั้งนี้ ถือเป็นประสบการณ์การเรียนรู้นอกห้องเรียนที่กว้างใหญ่มาก มากกว่าห้องที่พัก วัดที่จำ เสื่อที่ปูนอน หมอนที่หนุนในระหว่างการเดินทางด้วยซ้ำไป
สติมา นารีนุช
นักวิชาการศึกษา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น